“เราเป็นคนไทย ที่อยู่ในประเทศไทย” เราต่างคุ้นเคยประโยคแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ จนบางครั้งเราคุ้นเคยกับการที่ประชาชน กับ ประเทศ เป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งที่ความจริง ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ สัญชาติ และประเทศ คือคนละเรื่องกัน
เมื่อคำว่า ‘ไทย’ ถูกหยิบมาใช้ทั้งในบริบทดินแดนและผู้คน สิ่งที่ตามมาจึงคือภาพจำว่าคนในประเทศไทยมีเพียงคนไทย
บางครั้งเราจึงเผลอนึกว่าคนในประเทศกัมพูชาคือคนกัมพูชา ทั้งที่จริงเขาไม่ใช่คนกัมพูชาแต่ประชากรกลุ่มใหญ่ในประเทศกัมพูชาคือคนเขมร แถมยังมีคนอีกหลายกลุ่มอยู่ในนั้น
เช่นกันกับในประเทศไทย ประเทศไทยประกอบด้วยประชากรหลายชาติพันธุ์
ข้อมูลจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทรระบุไว้ว่าชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีถึงกว่า 60 ชาติพันธุ์หากแบ่งตามที่เจ้าของวัฒนธรรมใช้เรียกตนเอง มีทั้งคนไทย คนกะเหรี่ยง คนลาวโซ่ง ชาวบน ชาวบรู ชาวมอแกน และอีกมากมาย และหากแบ่งตามกลุ่มภาษาจะสามารถจัดกลุ่มได้ถึง 70 กลุ่มภาษาใน 5 ตระกูลด้วยกัน
และเมื่อเราพยายามสืบเสาะลงไปว่าคนหนึ่งๆ ที่อยู่ในประเทศไทยมีส่วนผสมของชาติพันธุ์ใดบ้าง แทบทุกคนจะระบุความหลากหลายหรือลงรายละเอียดได้มากกว่าเพียงว่าเป็นคนไทย เพราะเราต่างมาจาก ‘ร้อยพ่อพันแม่’ แล้วร้อยพ่อพันแม่ก็มีภูมิหลังที่หลากหลาย เพียงแต่ความหลากหลายเหล่านั้นมักไม่ค่อยถูกทำให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติ
จากสยามสู่ไทย
มีหลายหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าที่ตั้งของประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกจากอุษาคเนย์ มีการอพยพเคลื่อนย้ายและการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างคนกลุ่มต่างๆ เป็นเรื่องปกติมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีมา พื้นที่นี้จึงมีผู้คนมากมายหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่
สุจิตต์ วงษ์เทศได้อธิบายไว้ว่า บรรพชนคนไทยคือคนชาติพันธุ์ต่างๆ ในอุษาคเนย์ ในทางเหนือ เช่น ม้ง เมี่ยน รวมทั้งคนในตระกูลพม่า-ทิเบต เช่น กะเหรี่ยง ส่วนทางใต้สุดคือ มลายู โดยชาติพันธุ์เหล่านี้มีมาก่อนคำว่า “คนไทย”
จุดเปลี่ยนที่สร้างสำนึกความเป็นไทยให้แข็งแกร่ง โดยส่งผลไปถึงการกลบทับความหลากหลายของผู้คน อาจต้องย้อนกลับไปถึงยุคที่สยามในสมัยรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2411-2453) ท่ามกลางการล่าอาณานิคมที่ขนาบข้างสองฝั่ง สยามได้ลากเส้นเขตแดนรัฐชาติตามแนวสันปันน้ำจนสำเร็จ เพื่อมุ่งรักษาดินแดนจากการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน หากแต่การกำหนดเขตแดนนั้นกลับไม่ได้พิจารณาถึงพรมแดนทางวัฒนธรรม จึงทำให้ผู้คนที่มีความหลากหลายถูกรวมเข้าเป็นสมาชิกของรัฐชาติเดียวกัน ในขณะเดียวกันคนที่มีภูมิหลังร่วมกันก็ถูกแยกจากกัน เช่น คนกะเหรี่ยงที่ฝั่งชายแดนด้านทิศตะวันตกของไทยที่มีภาษา วัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์ร่วมกับคนฝั่งเมียนมาที่อยู่ตรงข้ามกัน
การปกครองแบบรวมศูนย์และการสร้างชาติที่เข้มข้นขึ้นในยุคนั้นเองส่งผลให้วัฒนธรรมของคนชาติพันธ์ุที่อยู่พื้นที่ป่าเขาและหัวเมืองที่อยู่ห่างไกลถูกมองเป็นเรื่องแปลก ตลก และถูกควบคุมโดยชนชั้นนำที่ถูกส่งไปจากส่วนกลาง
อีกจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดในคณะรัฐมนตรีที่นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2481-2500) ที่มีความเห็นให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามมาเป็นไทย รวมถึงการดำเนินนโยบายที่มุ่งสร้างความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมไทยหรือหลอมรวมให้คนในชาติให้ยึดมั่นในวัฒนธรรมเดี่ยว มีการออกประกาศให้ทุกคนทำตามหลายอย่างที่สะท้อนถึงการไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมย่อยและกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การให้ใช้ภาษาไทยกลาง ให้แต่งกายตามที่กำหนด การเรียกร้องให้อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
ยุคที่ใกล้ปัจจุบันขึ้นมาหน่อย อภินันท์ ธรรมเสนา นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรอธิบายว่า สำนึกความเป็นไทยถูกนำมาใช้อย่างชัดเจนในช่วงที่รัฐปราบคอมมิวนิสต์
“ความขัดแย้งเริ่มรุนแรงอีกครั้งในยุคสงครามเย็น โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่ส่วนหนึ่งมีถิ่นที่อยู่ตามชายแดนถูกมองเป็นภัยความมั่นคงของรัฐ” อภินันท์ ขยายความต่อว่าการจัดการของรัฐจึงมีสองแบบ หนึ่งคือผนวกรวมให้เป็นคนไทย ดังที่จะเห็นว่าเกิดขึ้นเยอะกับกลุ่มคนทางอีสาน หรืออีกทางหนึ่งคือผลักออกเป็นคนอื่น เช่น การขยายภาพว่าคนบนที่สูง อย่างม้งบางกลุ่มเป็นผู้ค้ายาเสพติด
ความหลากหลาย ความมั่นคง และความเป็นไทย
ผ่านมาหลายสิบปี แม้การล่าอาณานิคมและสงครามเย็นจะจบลง ความหวาดกลัวคอมมิวนิสต์จะไม่มีอิทธิพลเด่นชัดแบบอดีต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวคิดไทยนิยมได้หยั่งรากลึกลงในสังคม และกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงถูกมองอย่างมีอคติเจือปน
อภินันท์เล่าต่อว่าแนวคิดการพัฒนาชาติไทยตั้งแต่ยุค 2530 เป็นต้นมา มีการยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น แต่เป็นการยอมรับที่ต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐ อีกทั้งมองว่าต้องการการสงเคราะห์ มากกว่าการเห็นคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
อีกสิบปีให้หลัง การมองเรื่องชาติพันธุ์ก้าวหน้าขึ้นนับตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 มีการพูดถึงประเด็นสิทธิชุมชน สิทธิท้องถิ่น ผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายเริ่มมองเห็นถึงความเป็นชาติพันธุ์ อย่างไรก็ตาม คนชาติพันธุ์ได้รับความสนใจผ่านมิติด้านวัฒนธรรมมากกว่าจะมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรอย่างแท้จริง
ในปี 2550 ประเทศไทยได้รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองที่สหประชาชาติได้ประกาศไว้ โดยสิทธิหลักๆ ของชุมชนพื้นเมือง ได้แก่ สิทธิในที่ดิน เขตแดน และทรัพยากร สิทธิในการกำหนดชีวิตตนเอง สิทธิในการมีฉันทามติโดยอิสระ แนวคิดช่วงนี้เริ่มเสริมส่งศักยภาพผู้คนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อภินันท์เห็นว่า ชาติพันธุ์ถูกใช้ให้เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตมากกว่าการมีสิทธิมีเสียงในการจัดการตัวเอง
“แนวคิดเรื่องความหลากหลายและสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในสังคมไทยมีความย้อนแย้งอยู่มาก เราจะเห็นว่าเส้นทางของความคิดของรัฐมีฐานคิดอยู่บนความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีความเข้มแข็งกว่าการให้ความสำคัญความมั่นคงของมนุษย์ที่จะให้ศักดิ์ศรีความเป็นคนมากขึ้น”
“เพราะฉะนั้นความหลากหลายที่ยอมรับได้จึงจะเน้นไปที่ความหลากหลายที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ เช่น ยอมรับความสวยงามของการแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรม แต่ไม่ได้มีการพูดถึงมิติที่ลึกกว่านั้น เพราะอาจกระทบถึงอำนาจในการบริหารจัดการพื้นที่” อภินันท์กล่าว
ความก้าวหน้าเรื่องการยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นข้างต้น จึงสรุปได้ว่าเป็นการยอมรับความหลากหลายบนนโยบายที่ไม่หลากหลาย กล่าวคือตราบใดที่ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ข้ามเส้นที่รัฐควบคุมได้ ความหลากหลายนั้นก็จะยอมรับได้ แต่หากความหลากหลายนั้นข้ามเส้นที่รัฐควบคุมได้เมื่อใด เช่น เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับทรัพยากร เมื่อนั้นประโยชน์และความมั่นคงของชาติก็จะถูกเน้นย้ำความสำคัญขึ้นมาทันที
ทุกวันนี้สังคมโลกยอมรับและมองความหลากหลายว่าเป็นสิ่งสวยงาม ความมั่นคงของมนุษย์กลายเป็นวาระสากลที่หลายประเทศนำมาปรับเป็นนโยบาย การอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ การเคารพในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และคืนสิทธิพื้นฐานให้กับคนชาติพันธุ์ท้องถิ่นได้มาเป็นหนึ่งในทางออกของสารพัดปัญหาค้างคาที่กระทบต่อหลักสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมซึ่งเป็นผลมาจากยุคการสร้างชาติแบบดั้งเดิมที่เน้นวัฒนธรรมเดี่ยว
ด้านประเทศไทยเองก็เริ่มมองความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ในเชิงบวกมากขึ้นตามลำดับ นับแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และในฉบับฉบับปัจจุบัน ปี 2560 มาตรา 70 ก็ได้ให้การคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2562 การขับเคลื่อนพ.ร.บ.เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีความคืบหน้ามากขึ้น มีการผลักดัน ร่างพ.ร.บ.หลายฉบับ1 เพื่อเติมเต็มการรับรองสิทธิและการดำรงวิถีวัฒนธรรมในชาติพันธุ์ของประเทศไทย ซึ่งใจความสำคัญของร่างฯ มีจุดร่วมในสาระสำคัญว่าด้วยการรับรองสถานะ การสร้างความเสมอภาคบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม การสร้างกลไกคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ และการส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มชาติพันธุ์
แม้จะใช้เวลายาวนานและมีขั้นตอนกระบวนการจัดทำกฎหมายและนโยบายที่ค่อนข้างซับซ้อน การผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติที่คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ได้จริงจะเป็นรากฐานและจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการรับรองสิทธิคนชาติพันธุ์ในสังคมไทย
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
1
ที่มา